Better LifeTravel

8 ข้อที่พบ หลังเปลี่ยนจาก Economy มาลอง Premium FlatBed ของ AirAsiaX

เรื่องนี้ไม่ได้รับสปอนเซอร์นะจ๊ะ

เพราะการท่องเที่ยวคือการเจอะเจอประสบการณ์ใหม่ๆ และขึ้นอยู่กับการออกแบบทริปของแต่ละคนว่าต้องการประสบการณ์แบบไหน

ก่อนหน้า และมาถึงทริป “ล้างแค้นไม้แดง” นั้น มีการทดลองมากมาย และนี่ก็คือหนึ่งในการทดลองนั้นๆ ครับ

Premium FlatBed ของ AirAsia

ภาพจากเว็บ AirAsia โดยตรงครับ

หลังจากนั่งทั้งแบบ อีโคโนมี่ (Economy) และแบบโซนเงียบ (Quiet Zone) มาแล้ว มีบริการอีกแบบหนึ่งของ AirAsia ที่ยังไม่ได้ลองซะที

เพราะมันคือบริการที่ราคาแพงของ AirAsia นั่นคือ Premium FlatBed ซึ่งเหมือนมันจะดูดีที่สุดของ AirAsia แล้ว

และพลก็ได้ตัดสินใจทดลองใช้งานมันในการไปญี่ปุ่นรอบนี้ เพื่อทดสอบประสบการณ์ด้านความสบายครับ

ทำไมถึงต้องนั่งหรูๆ เอาเงินส่วนต่างไปเที่ยวดีกว่าไหม?

นี่เป็นคำถามที่พลก็คิดเหมือนกันว่า และก็เป็นความจริง ที่ส่วนต่างที่เราหักจากส่วนหนึ่ง ก็สามารถเอาไปใช้จ่ายในส่วนอื่นได้

อันนี้ก็แล้วแต่ความสบายใจของแต่ละบุคคล

แต่อย่างที่บอกว่า นี่เป็นการทดลอง Experience หนึ่งที่ตั้งใจไว้ แล้วโอกาสก็อำนวย เลยขอมาเล่าในแบบของคนที่นั่งชั้นอีโคโนมีแบบปกติ แล้วลองไปนั่ง Premium FlatBed ดูครับ

ความรู้สึกที่มันดี

ทุกอย่างมีข้อดีข้อด้อย พลขอเริ่มจากความประทับใจในข้อดีก่อนแล้วกัน

1. ความสบายในการเช็คอินที่เค้าเตอร์

อย่างที่เราอาจจะเห็นตอนไปเข้าแถวเช็คอินที่สนามบิน ส่วนของ Premium Flatbed จะมีช่องต่างหาก ซึ่งคนจะน้อยกว่ามากอย่างเห็นได้ชัด

สิ่งนี้ดูไม่แปลกใจเท่าใด เพราะจำนวนที่นั่งของ Premium Flatbed น้อยมากอยู่แล้ว คนที่เข้าใช้ก็ใช้เวลารอน้อยกว่าเป็นธรรมดา

อย่างตอนพลเข้าไปเช็คอิน พบข้อดีกว่าแบบปกติดังนี้

  • หากแจ้งเจ้าหน้าที่ที่ดูแลคิว เจ้าหน้าที่จะอำนวยความสะดวกเรา ให้ไปถึงเค้าเตอร์เช็คอินของ Premium Flatbed
  • ใช้เวลารอเช็คอินน้อยมาก เพราะไม่มีแถวต้องต่อคิว
  • การเช็คอินทำตามปกติ ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษอะไรนะ โอเคเลยครับ

ส่วนตัวสิ่งที่คิดว่าน่าจะเป็นจุดเปลืองโดยใช่เหตุคือ

น้ำหนักกระเป๋าครับ

น้ำหนักกระเป๋าของที่นั่ง Premium Flatbed นั้นจะได้เต็ม Max เลยนั่นคือ 40 กิโลกรัม ซึ่งดูค่อนข้างสิ้นเปลือง สำหรับคนไทยที่ไปเที่ยวญี่ปุ่น

เพราะอย่างของพลก็แพคเสื้อผ้าให้น้อยที่สุด เพื่อที่จะได้มีเนื้อที่เยอะๆ ขนของฝาก กับขนมกลับมากินที่บ้าน

และแน่นอนว่า เอาประเป๋าเปล่าไปด้วยครับ แต่น้ำหนักยังไงก็ไม่เต็มที่อยู่แล้ว ตรงนี้เสียดาย

แต่ถ้าเป็นเราเป็นคนที่ขนของไปญี่ปุ่น น่าจะคุ้มค่ามากๆ

2. การเรียกขึ้นเครื่องก่อน

จำตอนที่เราไปนั่งรอที่เกท ก่อนขึ้นเครื่องได้ไหมครับ?

ที่นั่ง Premium Flatbed จะได้เรียกขึ้นเครื่องเป็นโซนแรก

ข้อดีที่พลเห็นที่นี้ก็คือ ไม่ต้องยืนรอเรียกทีละโซน

เราก็จะตัวปลิวๆ เข้าไปก่อนที่นั่งโซนอื่น แค่นั้นเองครับ นอกนั้นไม่มีอะไรพิเศษ

3. ที่ใส่สัมภาระเหนือศรีษะ

อีกส่วนที่สังเกตคือบริเวณที่ใส่สัมภาระ หรือกระเป๋าเหนือศรีษะ จะมีพื้นที่ค่อนข้างเหลือเฟือ

ถ้าเดาไม่ผิด คงเป็นเพราะด้วยพื้นที่เท่ากัน จำนวนคนน้อยกว่าโซนอื่น ทำให้พื้นที่ใส่กระเป๋าเหลือเยอะอย่างเห็นได้ชัด

4. ที่นั่ง

เอาล่ะครับ ที่นั่ง คือไฮไลท์ของ Premium Flatbed เลย

หลายๆ คนอาจจะได้เห็นได้ยินมาจากหลายๆ รีวิวแล้ว พลขอเสริมในส่วนของประสบการณ์แล้วกันว่า

  • เบาะกว้างกว่า
  • คนขายาวไปต้องเป็นห่วง พลสูง 187 ซม. สบายๆ ที่เหลือครับ

เนื่องจากที่นั่งกว้างกว่า Economy ทั่วไป ทำให้คนตัวที่ค่อนข้างใหญ่อย่างพล ไม่อึดอัดเลย ส่วนแฟนพล ตัวมาตรฐานผู้หญิงปกติ กว้างขวางมากกก

มีช่องใส่ขวดน้ำ (มีขวดน้ำพร้อมให้ 1 ขวด ซึ่งปกติถ้านั่ง economy จะไม่มี) กับมือถือ หรือของใช้จำเป็น อยู่ข้างๆ

ที่นั่งจะมีผ้าห่มกับหมอนมาให้ ซึ่งหมอนจะมีขนาดใหญ่พอตัว นอนสบายโดยไม่ต้องพึ่งหมอนเสริมใดๆ

แผงปรับที่นั่งให้เอนนอนนี่สำคัญมาก พอเอนจนสุดแล้ว เก้าอี้ของเราจะอยู่ในสภาพที่เกือบนอนราบทีเดียว

ที่บอกว่าเกือบ เพราะมันไม่ได้กลายเป็นเตียงนอนราบเต็มตัวซะทีเดียว อันนี้ใครคาดหวัง

แต่ถ้าให้บอกความรู้สึก มันดีที่สุดแล้วล่ะครับ ใครที่เคยพยายามนั่งหลับในโซนปกติอย่างพล หมอนรองคอก็แล้ว ที่ปิดตาก็แล้ว ยังหลับไม่สนิท เจอแบบ Premium Flatbed ไปนี่สบายอย่างมาก (กลัวติดใจแหะ)

ยังเน้นว่าพลเป็นคนที่ตัวค่อนข้างสูงใหญ่ ยังรู้สึกสบายมากเลยครับ

5. การเสิร์ฟอาหาร

การเสิร์ฟอาหารจะเป็นรูปแบบปกติครับ ถ้ามีสั่งอาหารไว้แล้ว เราจะได้ถึง 2 กล่องทีเดียว (1 กล่องมีให้ปกติอยู่แล้ว และถ้าสั่งตอนจองผ่านหน้าเว็บก็จะได้อีก 1 กล่อง)

แต่แฟนพลสังเกตว่า โซน Premium Flatbed จะเป็นโซนที่เสิร์ฟหลังสุด แต่แฟนผมบอกว่าดีกว่าครับ เพราะเหมือนพักผ่อนได้เยอะกว่าครับ

6. ห้องน้ำ

โซน Premium Flatbed มีห้องน้ำอยู่ทางด้านหน้า 1 ห้อง (ข้างประตูที่ขึ้นลงเครื่อง) และด้วยพื้นที่ที่อยู่ด้านหน้าสุด ทำให้จำนวนคนที่ใช้ห้องน้ำนี้น้อยตามไปด้วย

นับเป็นข้อดีอีกอย่างหนึ่งครับ

7. ตอนลงเครื่อง

ตอนลงจากเครื่องก็ไม่มีอะไรพิเศษครับ จะมีข้อดีของพื้นที่ทางเดินที่กว้างกว่าปกติ ทำให้เวลาลุกนั่ง หมุนตัว หยิบกระเป๋าทำได้สะดวกกว่าแค่นั้นเอง

8. ตอนเอากระเป๋าจากสายพาน

ตอนลงเครื่องมาแล้ว หลังจากผ่านตม. ของญี่ปุ่นตามปกติ พอมาที่ส่วนรับกระเป๋าจากสายพาน กระเป๋าเดินทางจะถูกนำลงจากสายพาน และเอามาเรียงเป็นแถวเรียงตามขนาด

ทำให้ค้นหาสะดวก และไม่ต้องออกแรงยกกระเป๋าลงจากสายพานด้วยครับ

อันนี้ไม่เคยสังเกตเหมือนกัน แต่จากการมาญี่ปุ่นรอบก่อนๆ ไม่มีการนำกระเป๋าลงจากสายพานมาเรียงตามขนาดแบบนี้

ใครมีข้อมูลยืนยัน ต้องวานบอกพลแล้วล่ะ ว่าเป็นเพราะบินมาลงที่ญี่ปุ่น หรือเพราะเรานั่ง Premium Flatbed มากันแน่

ข้อเสีย… ที่แก้ได้

เอาล่ะ พูดถึงข้อดีแล้ว มาดูข้อเสียของ Premium Flatbed ดีกว่า และทุกคนคงเดากันได้ง่ายๆ

นั่นคือมัน แพงงงงง กว่าปกติพอตัวเลยครับ

แต่ว่าถ้าเราจองล่วงหน้าได้เป็นระยะเวลาที่ค่อนข้างนาน เราจะได้ราคาที่พอสมควรเหมือนกัน

เพราะขาไปคนนั่ง Premium Flatbed ขากลับนั่ง economy ธรรมดา ด้วยค่าใช้จ่ายที่เท่ากันฮะ!!

เพราะขาไปจองไว้ล่วงหน้า ประมาณ 5 เดือน แต่ขากลับมาจองตอนใกล้วันเดินทาง 2 เดือน เลยสามารถมายืนยันได้ว่า ระยะเวลาก่อนถึงวันเดินทาง จะทำให้เราได้ Premium Flatbed ในราคาที่สมน้ำสมเนื้อจริงๆ

สรุปประสบการณ์ Premium Flatbed

ถือว่าเป็นอีกหนึ่งการทดลองที่ทำให้ได้ประสบการณ์ที่ดีจนน่าจดจำเลยทีเดียวครับ

ดูๆ แล้ว Premium Flatbed ในความเห็นส่วนตัวของพล เหมาะมากสำหรับคนที่ต้องการพักผ่อนเต็มที่ ทั้งขาไปเที่ยวญี่ปุ่น แบบนอนเต็มที่ เช้ามาก็มีแรง อารมณ์ดีพร้อมสำหรับการลุยดินแดนปลาดิบได้เลย

หรือขากลับ ก็เหมาะสำหรับพวกเราที่อัดเต็มตลอดทริป สิ้นแรง ขึ้น Premium Flatbed นอนพักเต็มๆ มาถึงตอนเช้าที่เมืองไทย เดินทางต่อได้

และยังได้น้ำหนักกระเป๋าเต็มสูบ ตั้ง 40 กิโลกรัม ซึ่งขากลับ ของพลรวมกับแฟน ยังไม่ถึง 60 กิโลเลยครับ

สนใจเข้ามาเม้น มาทัก มาถามกันกับเรื่อง Premium Flatbed ได้ทาง Facebook และ Youtube ครับ

Loading Facebook Comments ...